LEXUS NX300h F-SPORT New Compact SUV
เซ็กเมนต์ใหม่ล่าสุดในตระกูลรถตรวจการณ์อเนกประสงค์ SUV ของ Lexus ที่มาพร้อมความทันสมัย โฉบเฉี่ยว เทคโนโลยี และประหยัดน้ำมัน ที่นับได้ว่าเป็นการผสมผสานได้อย่างลงตัว ภายใต้ชื่อ NX พระเอกของเราในฉบับนี้ที่จะมาเปิดประสบการณ์ใหม่ไปกับ SUV สไตล์สปอร์ต น้องใหม่ล่าสุดของค่าย
NX ถือกำเนิดภายใต้แนวคิด Premium Urban Sport Gear ที่มาพร้อมความโฉบเฉี่ยว โดดเด่น สะดุดตา ของดีไซน์ในการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของ Lexus ในยุคนี้ ซึ่งก็มีจุดเริ่มต้นตามนิยามของการออกแบบที่ว่ากันว่า “Premium Urban” เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์การขับขี่ตามรูปแบบของคนเมือง ที่มักจะต้องการรถที่มีความคล่องตัวในการขับขี่ การจอด พร้อมสรรพด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย อีกทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และให้ความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี ส่วนคำว่า “Sport” ก็มาต่อยอดถึงดีไซน์ในการออกแบบที่เน้นเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ ตั้งแต่รูปทรงที่โฉบเฉี่ยว สะดุดตา สมรรถนะในการขับขี่ ไปจนถึงฟีลลิ่งที่สปอร์ต สนุก มันส์ ที่ถูกนำมาผสมผสานภายใต้แนวคิดของการออกแบบ และคำสุดท้าย “Gear” คือการใส่ใจในรายละเอียด อย่างภายในห้องโดยสาร การจัดวางตำแหน่งอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย ไปจนถึงการรวบรวมเทคโนโลยีที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานเข้าไว้ด้วยกัน
บ้านเราเปิดตัว NX300h ขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา พร้อมทางเลือกให้เลือกใช้งานที่มากถึง 6 เวอร์ชั่น เริ่มกันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น Luxury ที่เปิดตัวมาด้วยราคาจำหน่าย 2,790,000 บาท ก็จะขยับขึ้นมาที่รุ่น Grand Luxury ที่มีราคา 2,990,000 บาท กับการเพิ่มเติมออปชั่นขึ้นมาอีกนิด อย่างไฟหน้ามาเป็นแบบ Bi-LED ล้อแม็กขอบ 18 ก่อนจะขยับขึ้นมาเป็นรุ่น Premium กับราคา 3,290,000 บาท ที่เพิ่มเติมอุปกรณ์ภายในอย่างชุดควบคุมและจอแสดงผล Remote Touch Interface ที่ให้การควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ง่ายขึ้น จากการสัมผัสที่ตัวรีโมตเท่านั้น นอกเหนือจากรุ่นขับเคลื่อนสองล้อหน้า NX300h ยังมีรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD มาให้เลือกใช้งานกันตั้งแต่รุ่น Premium AWD ที่จะขยับราคาขึ้นมาอีกนิดไปอยู่ที่ 3,490,000 บาท แต่ถ้าเป็นคนที่ชื่นชอบความโฉบเฉี่ยว สมรรถนะที่สปอร์ต NX300h ก็ยังมีรุ่น F-SPORT มาตอบโจทย์ความต้องการด้วย 2 เวอร์ชั่น 2 ทางเลือก กับรุ่นขับเคลื่อนสองล้อหรือรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD กับราคาที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 3,790,000 และ 3,990,000 ในรุ่นท็อปสุด ซึ่งเป็นพระเอกที่เรานำมาทดสอบกันในฉบับนี้
Sport Compact SUV
ด้วยการออกแบบที่สามารถสร้างความแตกต่าง จากภาพลักษณ์เดิมๆ ที่คุ้นตาของรถในกลุ่ม SUV ภายใต้รูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวตั้งแต่หัวจดท้าย มุมมองด้านหน้าที่เพรียวแหลมสไตล์รถสปอร์ตถูกนำมาปรับเกลาให้เข้ากับรถสไตล์ SUV กระจังหน้าตัวเอ็กซ์ที่ถูกนำมาใช้ในตระกูล Lexus ยุคใหม่ ก็ได้ถูกถ่ายทอดมาอย่างครบถ้วน ไฟหน้าดีไซน์เก๋ มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ Bi-LED ที่ใช้ชุดหลอด LED ถึง 3 โคม รูปตัว L วางเรียงต่อกันเป็นแนวยาว ให้ความสะดุดตากับรถรอบข้างในยามใช้งาน พร้อมๆ กับทัศนวิสัยในการส่องสว่างที่ดีในยามค่ำคืน ชุดไฟเลี้ยวและไฟเดย์ไลต์ถูกออกแบบให้แยกตัวออกมาอย่างโดดเด่น ด้วยรูปทรงลูกธนู ที่ด้านล่างของโคมไฟหน้าดีไซน์คล้ายๆ กับ IS รุ่นใหม่ กันชนหน้าถูกออกแบบมาให้เป็นสปอยเลอร์ในตัว ซ่อนชุดไฟตัดหมอกเอาไว้ที่ด้านล่างของตัวกันชน ทำหน้าที่เป็นทั้งไฟตัดหมอกและไฟส่องสว่างในยามเลี้ยวรถไปในตัว โดยทั้งหมดยังคงใช้เทคโนโลยีหลอดแบบ LED มากันครบ
ดีไซน์ทางด้านข้างของตัวรถที่ดูเรียบๆ แต่แฝงเอาไว้ด้วยเส้นสายของแนวฝากระโปรงหน้า และกระจกบังลมหน้าที่ลาดเอียงรับกับแนวหลังคา กรอบกระจกข้างได้อย่างลงตัว จะมีเพียงสัญลักษณ์ F-SPORT ที่มุมแก้มหน้าบ่งบอกความพิเศษ ล้อแม็กขอบ 18 พร้อมยาง 235/55R18 ถูกนำมาประจำการใน NX300h F-SPORT ส่วนทางด้านท้าย ความโฉบเฉี่ยวถูกบ่มออกมาจากชุดไฟท้ายรูปทรงหัวลูกธนู ที่ยังคงใช้ชุดหลอดแบบ LED มาทำหน้าที่แสดงไฟหรี่และไฟเบรก พร้อมด้วยระบบฝาท้ายที่ควบคุมการเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า ให้ความสะดวกสบายในการใช้งานเต็มระดับ โดยตัวฝาท้ายยังสามารถเลือกบันทึกระดับการเปิดไว้ล่วงหน้าได้ตามต้องการ
โฉบเฉี่ยวด้วยดีไซน์และการจัดวางอุปกรณ์
ภายในห้องโดยสารของ NX300h F-SPORT ยังคงแสดงให้เห็นถึงความพิถีพิถันในการออกแบบ ไปจนถึงการเลือกวัสดุมาใช้งาน ด้วยดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวของห้องโดยสารสามารถสร้างความรู้สึกสปอร์ตและหรูหราไปได้พร้อมกัน อีกทั้งชุดควบคุม Remote Touch Interface ลูกเล่นใหม่ในการควบคุมหน้าจอมัลติฟังก์ชันกลางที่ใช้งานง่ายขึ้น เพียงแค่ลากนิ้วไปบนตัวรีโมต ฟังก์ชันบนหน้าจอก็จะเลื่อนไปตาม และเพียงต้องการเข้าไปยังโหมดไหนก็เพียงแค่กดลงไปเท่านั้น โหมดควบคุมก็จะเปลี่ยนไปตามที่เลือก พร้อมแสดงผลบนหน้าจอมัลติฟังก์ชันขนาดใหญ่ที่บริเวณกึ่งกลางคอนโซล ซึ่งใน NX300h นี้ยังสามารถเลือกแสดงผลได้ถึง 3 โหมดพร้อมๆ กัน
เบาะนั่งสไตล์สปอร์ตสามารถโอบรับสรีระได้ดี มาพร้อมระบบปรับทิศทางด้วยไฟฟ้า ช่วยเพิ่มเติมความสะดวกสบายในการใช้งาน อีกทั้งในเบาะคู่หน้ายังมาพร้อมลูกเล่นพัดลมระบายความร้อนที่สามารถทำได้ทั้งระบายความร้อนเพิ่มความเย็น หมดห่วงในเรื่องของการจอดตากแดดเป็นเวลานานๆ แล้วขึ้นมานั่ง ไปจนถึงสร้างความอุ่นให้กับเบาะนั่งยามใช้งานในเมืองหนาว ส่วนพื้นที่ภายในห้องโดยสารตอนหลัง จากรูปทรงของรถที่ดูสปอร์ต แต่ในเรื่องของความสะดวกสบายก็ยังทำได้ดี ด้วยพื้นที่ทั้งด้านบนและด้านหน้าให้ความสบายต่อคนนั่งตัวใหญ่ๆ ได้ อีกทั้งตัวพนักพิงของเบาะนั่งหลังยังสามารถปรับเอนได้ ช่วยเติมความสบายในการเดินทางได้ดียิ่งขึ้น
ขุมพลังไฮบริดบล็อกคุ้นเคย
เครื่องยนต์ที่มารับหน้าที่สำคัญในการขับเคลื่อน NX300h นั้น ตกเป็นภาระหน้าที่ของเครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 2.5 ลิตร ที่มีรหัส 2AR-FXE บล็อกที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เพราะเป็นเครื่องยนต์บล็อกเดียวกับที่อยู่ในคัมรี่ ไฮบริด รุ่นใหม่ล่าสุดที่จำหน่ายอยู่ในบ้านเรา ด้วยเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ ที่มีความจุกระบอกสูบขนาด 2,494 ซี.ซี. สามารถสร้างพละกำลังได้มากถึง 156 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดอีก 20.99 กก.-ม. ที่ทำงานร่วมกับชุดมอเตอร์ไฟฟ้าตัวโตๆ ที่สามารถเบ่งกำลังเพิ่มมาได้ถึง 143 แรงม้า และแรงบิดที่มากถึง 27.52 กก.-ม. ก่อนจะส่งผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ลงสู่ล้อคู่หน้า มาถึงตรงนี้หลายๆ คนคงกำลังเกิดข้อสงสัยที่ว่ากำลังของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งหมด ทำไมส่งลงสู่เพียงแค่ล้อคู่หน้าเท่านั้น ทั้งที่ในตอนต้นได้บอกว่า NX300h F-SPORT AWD คันนี้เป็นรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ “AWD” ตามที่เขียนมานั้น อย่าได้พึงสงสัยหรือตกใจกันไป เพราะระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ “AWD” แบบ E-Four หรือชื่อเต็มๆ Electric four-wheel drive ของ Lexus คันนี้เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้า ที่ทำงานด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้าที่แยกอิสระอีกหนึ่งตัวที่ถูกติดตั้งไว้บริเวณกึ่งกลางระหว่างล้อคู่หลัง หน้าตาเสมือนหนึ่งกระปุกเฟืองท้ายนั้น จะทำหน้าที่สร้างพละกำลังได้มากถึง 68 แรงม้า พร้อมทั้งแรงบิดที่สูงถึง 14.17 กก.-ม. เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนเจ้าล้อขอบ 18 ให้หมุนสร้างแรงฉุดเสริมให้กับตัวรถจากทางด้านหลังได้เสมือนหนึ่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อทั่วๆ ไป ซึ่งจะแตกต่างกันก็เพียงแค่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ E-Four นี้ จะไม่มีการเชื่อมต่อกำลังกันระหว่างล้อหน้าและล้อหลัง ด้วยเพลาส่งกำลังเหมือนเช่นที่เราคุ้นเคยกันเท่านั้น
หลากหลายคำถามที่จะตามมานอกเหนือจากการทำงานของระบบ E-Four ที่เราได้กล่าวไปแล้วนั้น ก็เห็นทีจะเป็นฟีลลิ่งหรือการทำงานที่จะเกิดขึ้นในการขับขี่ใช้งานนั้นจะเป็นเช่นไร ซึ่งในการขับขี่ใช้งานนั้น เราจะพบว่าในการเดินทางบนสภาพการขับขี่ปกติ กำลังก็จะถูกถ่ายทอดผ่านล้อคู่หน้า โดยจะใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า หรือทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้านั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณการกดคันเร่ง ความเร็ว ไปจนถึงปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่ เหมือนเช่นการทำงานของรถไฮบริดทั่วๆ ไป แต่ยามใดที่เซ็นเซอร์ตรวจพบการลื่นไถลของล้อใดล้อหนึ่ง หรือการกดคันเร่งในปริมาณที่มาก เพื่อต้องการกำลังในการออกตัวที่มากนั้น ระบบก็จะสั่งการให้ชุดมอเตอร์ตัวหลังทำหน้าที่สร้างแรงขับ ช่วยเสริมการทำงานของล้อคู่หน้า หรือช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการทรงตัวที่ดี ด้วยความรวดเร็วเพียงแค่เสี้ยววินาที ซึ่งทำให้ในการขับขี่ผู้ขับจะรู้สึกถึงการขับเคลื่อนเหมือนรถขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติปกติทั่วๆ ไป ในยามที่เข้าโค้งด้วยความเร็วบนเส้นทางที่ลื่น จนด้านหน้าเริ่มออกอาการอันเดอร์สเตียร์ ระบบก็จะเริ่มเพิ่มกำลังในล้อคู่หลัง เพื่อช่วยเพิ่มสมดุลในการขับเคลื่อน จนพอที่จะรู้สึกได้ถึงกำลังที่ส่งผ่านจากล้อคู่หลังลงสู่พื้นถนนที่ลื่น
นอกเหนือจากการใช้งานแบบทั่วๆ ไปแล้ว NX300h F-SPORT ยังเพิ่มความพิเศษให้เหนือกว่าเวอร์ชั่นธรรมดา ด้วยโหมดควบคุมการขับขี่ Sport S+ ที่นอกเหนือจากโหมด ECO / Normal / Sport ที่จะมีให้เลือกอยู่ใน NX300h รุ่นอื่นๆ อยู่แล้ว แต่ Sport S+ จะมีเฉพาะในรุ่น F-SPORT ที่ช่วยเพิ่มความมันส์ในการขับขี่ยิ่งขึ้น จากการปรับให้การตอบสนองของเครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า ชุดเกียร์ ไปจนถึงระบบช่วงล่าง ที่จะปรับสู่โหมดสปอร์ต อีกทั้งระบบป้องกันการลื่นไถลก็จะลดการทำงานลง เพื่อตอบสนองการขับขี่ที่สปอร์ต ดุดันมากขึ้น อีกทั้งลูกเล่นเสียงจำลองที่ติดตั้งมาให้ ก็จะเพิ่มความดังขึ้นตามโหมดการขับที่เลือก ช่วยเพิ่มอรรถรสในการขับให้สมจริงสมจังมากขึ้น ซึ่งถ้าไม่สังเกตจริงๆ ก็อาจจะจับไม่ได้ว่าเจ้าเสียงเครื่องยนต์ที่คำรามให้เราได้ยินอยู่ภายในห้องโดยสารนั้น มันเป็นเสียงจำลองที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมา เพื่อเพิ่มความมันส์ในการขับขี่ให้กับเจ้าของรถเท่านั้น หาใช่เสียงที่เกิดจากเครื่องยนต์ไม่
ระบบช่วงล่างแบบอิสระสี่ล้อ แม็คเฟอร์สัน สตรัท ในด้านหน้า และดับเบิลวิชโบนในด้านหลังที่ติดตัวมาเพียงพอที่จะรองรับฝูงม้ากว่า 200 ตัว ให้โลดแล่นไปบนไฮเวย์ได้อย่างพอเหมาะ พร้อมการปรับเซตมาในสไตล์นุ่มหนึบ ที่ทำได้ลงตัวกว่ายุคก่อน โดยเฉพาะในย่านความเร็ว 120-140 นั้น ความมั่นใจ ความนิ่งของ NX สามารถทำได้ดี แม้จะอยู่ในโหมด Normal อีกทั้งระบบเบรกแบบดิสก์เบรกทั้งสี่ล้อที่มาพร้อมตัวช่วยตั้งแต่ ABS, BA ไปจนถึง EBD สามารถให้ความมั่นใจในการลดความเร็วได้มาก เพราะในยามที่เหยียบเบรกนั้น ระบบไฮบริดจะเข้ามามีส่วนสำคัญในการช่วยเพิ่มโหลดของการชาร์จไฟ เสมือนหนึ่งเอนจิ้นเบรกที่สามารถปรับเพิ่มขึ้นตามแรงของการเหยียบเบรก ช่วยทำให้ NX300h คันนี้มีระยะเบรกที่สั้นลงกว่ารถที่ใช้เพียงแค่ระบบเบรกแต่เพียงอย่างเดียว นับเป็นข้อดีที่ช่วยเติมความมั่นใจในการขับขี่ได้มากขึ้น ชนิดที่อยากให้ได้มาลองสัมผัสจะเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน
เพียงหนึ่งเดียวที่เป็นไฮบริดในเซ็กเมนต์นี้
ในบ้านเราเส้นทางของ NX300h นั้น อาจจะดูว่าโปร่งโล่ง เพราะเป็นช่องว่างเล็กๆ ของเซ็กเมนต์นี้ ด้วยคู่แข่งแบบตรงๆ ตัวไม่มี ซึ่งพอจะทำให้ NX สามารถเรียกความสนใจของกลุ่มลูกค้าที่กำลังมองหารถตรวจการณ์ SUV ที่มีความคล่องตัว ตอบโจทย์ของการใช้งานในเมืองได้ดี และที่สำคัญ เป็นรถไฮบริด มาเป็นตัวเลือกในลำดับต้นๆ เพราะคู่แข่งในเซ็กเมนต์นี้ส่วนใหญ่จะยังใช้เครื่องยนต์ธรรมดาทั้งเบนซินเทอร์โบ และดีเซลเทอร์โบ เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น BMW X4, Porsche Macan หรือจะเป็น Range Rover Evoque ก็ยังไม่ได้ส่งเวอร์ชั่นไฮบริดลงแข่งในเซ็กเมนต์นี้ อีกทั้งระดับราคาที่มีตัวเลือกมาให้เลือกสรรมากถึง 6 เวอร์ชั่น กับระดับราคาที่เริ่มต้นตั้งแต่ 2.79 ไล่ยาวขึ้นมาถึง 3.99 ล้านบาท เรียกกันได้ว่าเลือกกันได้ตามชอบใจและกำลังทรัพย์ในกระเป๋ากันเลยทีเดียว
ข้อมูลทางเทคนิค
ยี่ห้อและรุ่นรถ LEXUS NX300h F-SPORT
ประเทศผู้ผลิต และรุ่นปี ประเทศญี่ปุ่น รุ่นปี 2014
เครื่องยนต์
แบบเครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
รหัส 2AR-FXE
ปริมาตรความจุ (ซี.ซี.) 2,494
กระบอกสูบ x ระยะชัก (มม.) 90.0 x 98.0
ระบบควบคุมเครื่องยนต์ EFI
กำลังสูงสุด (แรงม้า/รอบ/นาที) 156/5,700
แรงบิดสูงสุด (กก.-ม./รอบ/นาที) 20.99 /4,400-4,900
ถังเชื้อเพลิงจุ (ลิตร) 56
ชนิดเชื้อเพลิง เบนซิน 91
มอเตอร์ไฟฟ้า
มอเตอร์หน้า
กำลังสูงสุด (แรงม้า/รอบ/นาที) 143
แรงบิดสูงสุด (กก.-ม./รอบ/นาที) 27.52
มอเตอร์หลัง
กำลังสูงสุด (แรงม้า/รอบ/นาที) 68
แรงบิดสูงสุด (กก.-ม./รอบ/นาที) 14.17
กำลังรวมทั้งระบบ (แรงม้า) 197
ไฮบริดแบตเตอรี่ แบบ Ni-MH (Nickel-Metal Hydride)
ระบบขับเคลื่อน สี่ล้อ AWD E-Four
ระบบเกียร์ (รหัส) เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT
ระบบพวงมาลัย แร็ค แอนด์ พิเนี่ยน พร้อมเพาเวอร์ช่วยแบบไฟฟ้า (EPS)
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด (เมตร) 5.7
ระบบกันสะเทือนหน้า อิสระ แบบแม็คเฟอร์สัน สตรัท
ระบบกันสะเทือนหลัง อิสระ แบบดับเบิลวิชโบน
ระบบเบรก หน้า/หลัง ดิสก์เบรก/ดิสก์เบรก
มิติ กว้าง x ยาว x สูง (มม.) 1,870 x 4,630 x 1,630
ฐานล้อยาว (มม.) 2,660
ความกว้างของล้อหน้า (มม.) 1,580
ความกว้างของล้อหลัง (มม.) 1,580
น้ำหนักรถ (กก.) 2,385
ล้อ ล้อแม็กขนาด 18”
ยาง (หน้า, หลัง) 235/55R18
ความเร็วสูงสุด (ตัวเลขโรงงาน) 180 กม./ชม.
ราคาจำหน่าย 3,990,000 บาท
เรื่อง กิตติศักดิ์ ด้วงพิมพ์
ภาพ พิศวัส พงศ์พุฒิโสภณ
Sorry, the comment form is closed at this time.